เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๓ พ.ย. ๒๕๖๑

เทศน์เช้า วันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๑

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะนะ ตั้งใจฟังธรรมๆ ที่เรามาวัดมาวากันเราต้องการสัจธรรม สัจธรรมความจริงในหัวใจของเรานี่ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมๆ เวลาตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เทศนาว่าการสอน ๓ โลกธาตุ ๓ โลกธาตุ เทวดา อินทร์ พรหม เขาเป็นทิพย์สมบัตินะ

เวลาเราฟังธรรมๆ เราอยากเกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหม แต่เทวดา อินทร์ พรหม เขาทิพย์สมบัติ คำว่า ทิพย์สมบัติๆ” นึกสิ่งใดได้อย่างนั้น นึกสิ่งใดได้อย่างนั้น ทำไมเทวดามีทุกข์ล่ะ ทำไมพรหมมาฟังเทศน์พระพุทธเจ้าล่ะ

นี่ไง เพราะเราคิดแต่เรื่องที่ว่าเป็นทิพย์สมบัติ ใครทำแล้วก็อยากร่ำอยากรวย อยากประสบความสำเร็จในชีวิต ทุกคนก็ปรารถนาทั้งนั้นน่ะ แต่คนเรามันมีเวรมีกรรมนะ คำว่า มีเวรมีกรรม” กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน เราเกิดมา เกิดมาเป็นมนุษย์เกิดมาพบพระพุทธศาสนานี่สุดยอดแล้ว การเกิดเป็นมนุษย์นี่ เพราะมนุษย์มีสิทธิเสรีภาพที่จะทำดีก็ได้ ทำชั่วก็ได้ การทำคุณงามความดี ทำคุณงามความดีเพื่อเรา แต่มันเป็นคุณงามความดีทางโลกไง ทำคุณงามความดีทางโลกคือวัตถุนิยม คือสิ่งที่มีน้ำใจต่อกัน

แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าข้ามพ้นทั้งดีและชั่ว มันชนะใจของตนๆ ชนะคุณงามความดีอันนั้น ถือดีๆ คนดีทะเลาะกันเลวร้ายกว่าคนชั่วร้ายทะเลาะกันนะ คนดีทะเลาะกันๆ เห็นไหม ดูสิ ลัทธิศาสนาอื่นที่เขาทำลายกันๆ เพราะความถือว่าใครถือเคร่งกว่าไง ทำลายล้าง ทำลายล้างเลยล่ะ เพราะว่ากูถือดีกว่ากันๆ คำว่า ถือดีๆ” โลกเขาถือดีๆ ต่อกัน

คำว่า ถือดี” แล้วพูดถึงพระพุทธศาสนา แม้แต่ความดีนั้นก็ไม่ใช่ เพราะถือดีก็คนอื่นชั่วไง ถ้าเรามีดี คนอื่นต้องชั่ว ถ้าเราดี แต่ถ้าเราไม่มีใครดีเลย มีแต่คนเข้าใจตนเอง มีแต่คนเท่าทันใจของตน มีแต่คนมีหัวใจที่เป็นธรรมๆ นี่ไง มันไม่มีใครต่ำต้อยกว่าเรา

เราเกิดมาเป็นคนเหมือนกันนะ เรามีสิทธิเสรีภาพเท่ากัน เพียงแต่อยู่ที่วาสนาของคน วาสนาของคน พอเรามีวาสนาเรามาวัดมาวา คนข้างนอกเขาแปลกใจนะ เฮ้ย! ไอ้พวกนี้มีเวลาว่างเยอะเนาะ เขาต้องทำมาหากิน ไอ้พวกนี้มีเวลาว่างเยอะ แต่เขาไม่คิดหรอกว่าหัวใจของคนมันสูงส่งกว่า คำว่า สูงส่งกว่า” เขาต้องการความสุขในใจของเขา เขาต้องการความสุขในใจของเขา เขารู้เข้าใจแล้วว่าสิ่งที่แสวงหามา ใช่ มันมีความจำเป็นนะ ปัจจัย ๔

ปัจจัย ๔ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดาของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิเสธหรือ ถ้าปฏิเสธนะ เวลาบวชพระ บาตรนี่คืออาหาร ให้บิณฑบาตเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง ผ้าผ่อนแพรพรรณ ไตรจีวร ถ้าที่อยู่ก็ที่เรือนว่าง โคนไม้ ยาก็น้ำมูตรที่เราใช้ประโยชน์นี้

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ปฏิเสธปัจจัย ๔ นะ แต่เวลาพวกปัจจัย ๔ ถ้าเรามีน้ำใจต่อกันมันพอ ถ้าความเป็นธรรมๆ นะ ดูสิ ห้างสรรพสินค้า อาหารที่มันหมดอายุที่ขายไม่ได้มหาศาล ทิ้งเป็นพันๆ ตัน ถ้ามันมีใจที่แบ่งปันกันมันพอ แต่ในเมื่อมีได้มีเสีย มีต่างๆ ขึ้นมาแล้วมันก็มีการแข่งขันกัน การแข่งขันทางโลก ถ้าการแข่งขันทางโลก ถ้าการเป็นธรรมๆ เราเจือจานกันๆ

นี่พูดถึงว่าถ้าเราเข้าใจ เรามองสิ่งที่เป็นวัตถุ มันมีความจำเป็น วัฒนธรรม วัฒนธรรมของเรา เรื่องของวัตถุ เวลาสังฆะ ในธรรม ในศาลา เรื่องของวัตถุทั้งนั้นน่ะ แต่ถ้าเป็นจริงๆ เรามาวัดมาวากันเราทำบุญกุศลของเราด้วยน้ำใสใจจริงนะ มันสวยงามไปทั้งนั้น เรามีน้ำใจต่อกัน ยิ้มแย้มต่อกัน อเสวนา จ พาลานํ ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา เราจะเสวนากับบัณฑิต บัณฑิตที่เราเห็นคุณธรรมคุณงามความดี คุณงามความดีที่ว่าพวกนี้มันมีเวลาว่างๆ เขาต้องทำมาหากินๆ ทำมาหากินเขาทำของเขาแล้ว สิ่งนั้นมันเลี้ยงปากเลี้ยงท้องเลี้ยงชีวิตนี้ไว้ ถ้าเลี้ยงชีวิตนี้ไว้ ถ้าเรามีสติปัญญา เราจะหาคุณธรรม ที่มาวัดมาวากันนี่ มาวัดมาวาทำบุญ

ทำบุญก็ทำบุญนะ ทำบุญยังไม่พอ ทำบุญส่วนทำบุญน่ะ บุญนี้เป็นอามิส ถ้าได้ทำๆ แล้ว พอทำมากขึ้นๆ ทำที่ไหนต่อไป แต่ถ้าจิตใจมันละเอียดขึ้นไป ทาน ศีล ศีลคือความปกติของใจ การทำบุญที่ได้ประโยชน์มหาศาลเลยคือนั่งลงแล้วหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ

ทำทานร้อยหนพันหนไม่เท่ากับถือศีลบริสุทธิ์หนหนึ่ง ถือศีลบริสุทธิ์ร้อยหนพันหนไม่เท่ากับทำสมาธิได้หนหนึ่ง มีสมาธิร้อยหนพันหนไม่เท่ากับเกิดภาวนามยปัญญาขึ้นมาหนหนึ่ง ภาวนามยปัญญามันแก้ไขกิเลสตัณหาความทะยานอยากของคน การถือเนื้อถือตัวว่าตัวแน่ ตัวดี ตัวเก่ง ต้องทำลายตรงนั้น

ถ้าทำลายตรงนั้น มันไม่มีใครดี ใครแน่ ใครเด่นไปกว่าใคร มันสูงส่ง นี่ไง การทำบุญที่มีอานิสงส์สูงสุด นั่งลง หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ การภาวนาๆ เพราะเราเห็นว่าสูงส่ง ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชี้เข้ามาที่ใจของมนุษย์ทั้งหมด ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชี้เข้าไปในใจของสิ่งที่มีชีวิตทั้งสิ้น ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อสัตว์ขนสัตว์ ถ้าไม่มีการเกิด สัตว์มันจะเกิดที่ไหน

เวลาการเกิด จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เวียนว่ายตายเกิดด้วยเวรด้วยกรรมของตน ถ้าเวียนว่ายตายเกิดด้วยเวรด้วยกรรมของตน เกิดมาแล้ว เกิดมาเป็นมนุษย์เหมือนกัน แต่ความคิดไม่เหมือนกัน เกิดมาเป็นมนุษย์เหมือนกัน อำนาจวาสนาไม่เหมือนกัน ถ้ามีอำนาจวาสนาไม่เหมือนกัน คนที่มีอำนาจวาสนามากกว่าเขาเห็นคุณงามความดีที่ดีกว่า

นี่ไง เวลาบวชพระๆ มา เขาบวชพระเป็นลูกตุ้มสังคม บวชพระเป็นการกดถ่วงสังคม เป็นคนเอารัดเอาเปรียบไง

ถ้าบวชด้วยตามความเป็นจริง หลวงตาท่านพูดประจำ ไอ้ที่ว่าทุกข์ๆ ยากๆ ทำหน้าที่การงานแล้วเหนื่อยยาก อย่าเพิ่งพูด ายังไม่ได้ภาวนา เวลาภาวนาขึ้นมานะ คนที่ภาวนาที่เป็นสัตย์จริงนะ เวลาธรรมะฟากตายๆ มันจะเป็นจะตายขึ้นมา ทำงานแบบสละชีวิต มันมีหน้าที่งานอันใดบ้างที่ทำงานถึงต้องสละชีวิต เอาชีวิตนี้เข้าแลกมาๆ แลกมาเพื่ออะไร เพื่อเอาชีวิตแลกกับชีวิตไง เอาชีวิตอุดมการณ์ เอาชีวิตที่เป็นอิสระ เอาชีวิตที่พ้นจากการครอบงำ การครอบงำของกิเลสไง

เวลาภาวนา พระที่ไหนเป็นลูกตุ้มสังคม ถ้ามันบวชมาโดยสัจจะโดยความจริงนะ ด้วยความแสวงหาที่คุณธรรมในใจของตนนะ ถ้ามันประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงอันนั้น ถ้าปฏิบัติตามความเป็นจริงอันนั้น ทาน ศีล ภาวนา ทาน

เรามาวัดมาวามาทำทานของเรา ทำทานของเราเพื่อสะสมอำนาจวาสนาบารมีของเรา ถ้ามันแน่ใจมั่นใจแล้ว เราออกบวช ออกบวชเพื่อจะค้นหาสัจจะความจริง อริยทรัพย์ ทรัพย์ทางโลกนับกันได้เป็นเงินเป็นทอง ถ้าอริยทรัพย์ เห็นไหม

เวลาจิตตคหบดีทำบุญๆ บุญเต็มเปี่ยม เวลาจะตาย คนจะตายนะ เขาดิ้นรน เขาเป็นทุกข์เป็นร้อน จิตตคหบดีบอกเทวดาบอกรอก่อนๆ กำลังฟังธรรมอยู่ ฟังธรรมเสร็จแล้วจะขึ้นรถเทียมม้ารถสวรรค์ไปสวรรค์เลย เหมือนกับคนจะไปปิกนิกไปเที่ยวที่มีความสุขสงบที่ดีกว่า เขาเห็นด้วยตาของเขา นี่ถ้าบุญกุศลมันเต็มเปี่ยมของมัน แต่ของเรายังไม่เต็ม เรายังไม่เข้าใจของเรา เราก็ทำของเรา นี่เรื่องของทาน เพราะอะไร

เพราะไปเกิดบนสวรรค์ บนอินทร์ บนพรหมขนาดไหนก็ผลของวัฏฏะ มันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ มันวนไปตลอด ถ้าเราเข้าใจของเรา เราจะทำของเรา เราจะฝึกหัดภาวนาของเรา ถ้าฝึกหัดภาวนาของ ฟังธรรม ฟังธรรมเพื่อเหตุนี้ ถ้าเหตุนี้ ถ้าภาวนาของเรา ตั้งสติ

คนเราทุกข์ ทุกข์เพราะความคิด ความคิดของคน แล้วความคิดทุกข์มากนะ จะไปวัด ๑๐ วัน แล้วภาวนาแล้วไม่ได้อะไรเลย ไปวัด ๒๐ วัน ภาวนาไม่ได้อะไรเลย ไปวัดกลับทุกข์

แต่ถ้าเราปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เอาทุกข์มาจากไหน เรามีอำนาจวาสนานะ คนที่มีอำนาจวาสนา มีโอกาสทำหน้าที่การงาน ถ้าคนมีโอกาสคนนั้นก็จะประสบความจริงของเขา เราได้เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา เราชนะกิเลสในใจของเราแล้วนะ เราชนะกิเลสในใจของเรา บุญกิริยาวัตถุ เราจะนอนก็ได้ เราจะนั่งก็ได้ แต่เราเสียสละเพื่อบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บุญกิริยาวัตถุกิริยาความสะดวกสบายเราเสียสละ เราเสียสละมาเพื่อบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่มันก็บุญแล้ว เราเอาร่างกายนี้ถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันจะไม่ได้บุญที่ไหน แล้วถ้าภาวนาๆ ไปนะ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต มันละเอียดขึ้นไป

ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ถ้ามีสติธรรม สมาธิธรรม ปัญญาธรรม นี่ไง ถ้ามันสงบระงับเข้ามา นี่เราได้เห็นตถาคต ถ้าใครทำความสงบของใจเข้ามา พอใจสงบแล้ว โอ้โฮ! จิตเป็นอย่างนี้หรือ มหัศจรรย์ขนาดนี้หรือ อู๋ย! มันมหัศจรรย์มาก มหัศจรรย์มาก แล้วความมหัศจรรย์นี้เห็นไหม

นี่ไง เกิดมาต้องการวัตถุไง ต้องการข้าวของเงินทองไง ต้องการอำนาจวาสนาไง เวลาไปค้นเจอใจของตน โอ้โฮ! มันมีคุณค่ามากกว่านั้นน่ะ แต่ธรรมดา ธรรมชาติเราฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเราเข้าใจ มนุษย์มีกายกับใจๆ แล้วเคยเห็นไหม เห็นแต่ตัวหนังสือ สระใอ จ.จาน ใจ แต่ไม่เคยเห็นหรอก พอไปเห็นเข้ามันมหัศจรรย์ ความมหัศจรรย์นั้นนะ ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก นี่สิ่งที่มีค่าๆ ไง

แค่จิตเป็นสมาธิ โอ้โฮ! มันก็มหัศจรรย์ มหัศจรรย์ที่ไหน พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน พอพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว เอาพุทธะนั้นสร้างปัญญา สร้างสติ สร้างปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าปัญญาเกิดจากการภาวนา ปัญญาเกิดจากการภาวนามันรื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อหัวใจของเรา

เวลาเขาโต้แย้งกันไง นรกสวรรค์มีหรือไม่ มรรคผลมีหรือไม่ อู๋ย! โต้แย้งกันไป โต้แย้งกันมานะ เอ็งทุกข์หรือไม่ เกิดมามีความทุกข์ไหม เกิดมามีความคับแค้นใจไหม เกิดมา แล้วเวลาเราภาวนา จิตมันสงบแล้วมันผ่องใส มันผ่องแผ้ว นี่เอ็งเห็นไหม

ถ้าเวลาจิตมันยกขึ้นสู่วิปัสสนามันได้แยกได้แยะ เวลาปัญญาหมุนติ้วๆ เวลามรรค ๘ มรรค ๘ เวลามรรค กระบวนการของมรรค กระบวนการของมันได้ขยับไป กระบวนการของมรรคมันหมุนของมันไป ศีล สมาธิ ปัญญา ปัญญาในอะไร ปัญญารู้แจ้งในใจของตน ปัญญารู้แจ้งในกิเลสไง ไม่ใช่ปัญญาการซื้อขาย ปัญญาการทำมาหากิน ปัญญาการชนะคะคานกัน ไม่ใช่ ปัญญารู้เท่ากิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของตน

เวลาปัญญามันหมุนขึ้นมามันจะเกิดความมหัศจรรย์ในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศีล สมาธิ ปัญญา นี่เวลาเกิดมรรคเกิดผล อ๋อ! มรรคมันเป็นอย่างนี้ ผลมันเป็นอย่างนี้ ไอ้ที่เรียนมาอีกเรื่องหนึ่งเลย ไอ้ที่เรียนมามันอยู่อีกประเทศหนึ่ง ครูบาอาจารย์พูดมาก็ เออ! พอฟังได้ เวลาปฏิบัติขึ้นมา โอ้โฮ! มันถึงเป็นปัจจัตตัง มันถึงเป็นสันทิฏฐิโก มันถึงสามารถมีความชนะกิเลสในใจของตน มันจะชนะมารในใจของตน นี่เวลามันเป็นความจริง ความมหัศจรรย์ในใจของตน พอเป็นความมหัศจรรย์เกิดขึ้น นี่ผลของการภาวนามยปัญญาๆ นี่พระพุทธศาสนาสอนขนาดนี้นะ

ฉะนั้น เวลาไปวัดไปวา ไปวัดไปวาไปฟังธรรมๆ ก็เพื่อหนทาง เปิดหนทางของเรา ถ้ามีสติ มีศรัทธาความเชื่อนะ มันจะฝังใจ

คนเรานะถ้ามีความเห็นผิด มีความคิดผิดอยู่ มันก็คิดนั่นน่ะ สังคมรังแกเรา พ่อแม่ไม่รักเรา ครูบาอาจารย์เบียดเบียนเรา ไม่รักเราจริง กันท่า เวลาชมคนนู้น กดคนนี้...ไม่มีหรอก ไม่มี

นี่ไง จริตนิสัย นิสัยของคนมันไม่เหมือนกัน นิสัย ชาวไร่ชาวนาเขาก็มีสติปัญญาในการทำไร่ทำนาของเขา เครื่องมือกสิกรรมของเขา เขาหวงมาก เขารักของเขามาก นี่ไง สิ่งที่มีคุณค่ากับเขา คนที่ทำหน้าที่การงานของเขา เขามีอุปกรณ์การทำงานของเขา เขาก็หวงของเขา นี่มันก็รักษาของเขา คนที่นักบริหารของเขา เขาก็มีสมองของเขาที่จะคิดงานของเขา

นี่ก็เหมือนกัน เวลาการอบรมสั่งสอนมันก็อบรมสั่งสอนแตกต่างกันไป คนเรามีหน้าที่ต่างกัน หน้าที่ต่างกัน ความรู้สึกนึกคิดก็ต่างกัน พฤติกรรมก็ต่างกัน การปฏิบัติก็เหมือนกัน การปฏิบัติน่ะ ของคนนี้ ไปบอกไอ้คนนู้น ของคนนู้นไปบอกคนนี้...เป็นไปไม่ได้

มันตรงกับจริตตรงกับนิสัยของตน แล้วถ้าไม่ตรงจริตตรงนิสัย เราไปขโมยเขามา เรามีโรคภัยไข้เจ็บอย่างนี้ แล้วเราก็พยายามจะไปเอายาอีกประเภทหนึ่งมารักษาโรคภัยไข้เจ็บของเรา เพราะหมอลำเอียง หมอไม่ให้ยาอย่างนี้ ให้ยาคนอื่น จะไม่ให้ยาเรา เป็นอย่างนั้นหรือ

เหมือนกัน ถ้ามันอย่างนั้นมันก็มีแต่ความคิด นู่นเป็นอย่างนั้น นี่เป็นอย่างนั้น คนนั้นรังแกเรา คนนั้นกลั่นแกล้งเรา...ไม่ใช่หรอก กิเลสเราต่างหาก การมองที่ผิดพลาด การมองที่เห็นผิดเพราะการถือตัวถือตนของตน ไม่ใช่ เพราะสิ่งใดๆ การเคลื่อนไหวเพื่อสงบ ความรู้สึกนึกของจิตมันคิดออกไปจากจิต การเคลื่อนไหว แต่เราต้องการความสงบ การเคลื่อนไหวของจิตมันมีทุกๆ ดวงใจ ทุกๆ ดวงใจมีความคิดทั้งนั้น แล้วความคิดของคนมันก็ออกไปจากจริตนิสัยของใจของตน แล้วเอาความสงบล่ะ แล้วเอาวิธีการล่ะ แล้วต่างๆ ล่ะ นี่ถ้ามันคิดได้คิดเป็นนะ มันจะเข้าใจของมัน แล้วมันจะสังเวช เวลาสังเวชขึ้นมานี่ธรรมสังเวช

คนเรานะ เวลาระลึกได้สะเทือนหัวใจน้ำตาไหล น้ำตาไหลพราก นี่น้ำตาไหลพรากนะ แล้วชีวิตเปลี่ยน ถ้าเรารู้จักมีสำนึกผิดต่างๆ แล้วชีวิตเราจะเปลี่ยนแปลงไปเลย เปลี่ยนแปลงไป เห็นไหม คนเคยกินเหล้าเลิกกินเหล้า คนเคยเล่นการพนันเลิกการพนันเพราะเขาเห็นโทษของมัน แต่คนที่เขายังเล่นการพนัน เขายังกินเหล้าเมายาของเขา เขาว่านั่นเป็นความสุขของเขา แต่ทางการแพทย์ ทางวิทยาศาสตร์ก็ยืนยันอยู่แล้วว่าให้โทษทั้งนั้น แต่เขาก็ยังพอใจดำรงชีพของเขาอย่างนั้น

แต่ของเรา ถ้ามีความรู้สึกนึกคิด เราจะเห็นผิดแล้วเราจะไม่ทำซ้ำอย่างนั้น เราจะเปลี่ยนกิริยา เปลี่ยนการกระทำของเราไปอีกทางหนึ่งเลย แต่มันต้องคิดได้ ถ้ามันคิดไม่ได้มันก็แก้ไขไม่ได้ นั่นเป็นเรื่องของสัตว์โลก แต่นี่พูดถึงข้อเท็จจริงของการเกิดมามีกายกับใจ ฟังธรรมๆ เพื่อเหตุนี้

นี่ไง เวลาหลวงปู่มั่นท่านเทศน์มุตโตทัยๆ เวลาสมเด็จฯ ท่านพูด หลวงปู่มั่นท่านเทศน์มุตโตทัยๆ มันก็เทศน์เรื่องความคิดเรา มันก็เทศน์เรื่องพฤติกรรมในใจเรานี่ พฤติกรรมในใจของเรา แต่เราไม่เห็นนะ แต่เก่งทุกเรื่อง ยกเว้นแต่เรื่องของตัวไม่รู้ เก่งทุกเรื่อง

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ทวนกระแสกลับมาที่ใจของเรา หน้าที่ของเราคือดับไฟในบ้านของเรา หน้าที่ของเราคือดับกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของเรา ถ้าใครดับกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจดวงนี้แล้ว จากใจดวงหนึ่งสู่ดวงใจของสัตว์โลก

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้พระองค์เดียวเป็นศาสดาสอน ๓ โลกธาตุ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเราท่านทำของท่านสำเร็จแล้ว ท่านเป็นอาจารย์ใหญ่ เป็นถึงกระแสสังคมของโลกยุคใหม่ ตั้งแต่หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ท่านพยายามฟื้นฟูในการประพฤติปฏิบัติ แต่เดิมไม่มีใครเชื่อนะ หมดกาลหมดเวลา นี่ท่านอุทิศชีวิตเพื่อปลุกให้พวกเราตื่น แล้วพวกเราจะตื่นหรือไม่ จะมีสติปัญญาหรือไม่

อย่าไปตื่นโลก ตื่นข้าวของภายนอก ชีวิตเรามีค่า หัวใจของเรามีค่า หัวใจของเรามีค่าที่สุด เอวัง